วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

2 0 1 2 คำทำนายตรงกันจากหลากหลายความเชื่อ


2 0 1 2
คำทำนายตรงกัน จาก หลากหลายความเชื่อ

ขั้วแม่เหล็กโลก กลับทิศ มากว่า 400 ครั้ง ในช่วง 330 ล้านปี โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 780,000 ปีที่ผ่านมา และ พบการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง ด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อปี หากคงไว้ที่อัตราดังกล่าว ขั้วแม่เหล็กโลก จะอยู่ที่ ไซบีเรีย ในอีก 50 ปี ด้านผู้เชี่ยวชาญกรมทรัพยากรธรณีไทย เผยปรากฏการณ์ดังกล่าว ไม่ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ 

ทางด้าน ศ.นพ.เทพนม เมืองแมน ระบุว่า ภายในปี 2557 โลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลก แบบกลับเหนือ-ใต้ ซึ่งจะทำให้เกิด พายุหมุน แผ่นดินไหว อุณหภูมิโลกเปลี่ยน และ ไทย ยังต้องเผชิญกับหิมะตก เชื่อกันว่า การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก นั้นเกิดขึ้นเมื่อ การไหลเวียนของนิกเกิลเหลว (liquid nickel) และ เหล็กเหลว (liquid iron) ในแกนกลางชั้นนอกของโลก กระจัดกระจาย จากนั้นก็จัดเรียงตัวใหม่ ในทิศทางตรงกันข้าม แต่ยังไม่มีใครทราบ ถึงสาเหตุของการกระจัดกระจาย ดังกล่าว

หลักฐานการกลับขั้ว พบได้ใน สันเขากลางมหาสมุทร (mid-ocean ridges) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกเทคโทนิค (tectonic plates) ได้แยกออกจากกัน และ ที่ก้นมหาสมุทร ก็เต็มไปด้วยแมกมา ซึ่งไหลซึมออกมาจากเปลือกโลกชั้นใน (mantle) อนุภาคแม่เหล็ก ในของเหลวร้อนดังกล่าว ได้พลิกทิศทางของสนามแม่เหล็กโลก ในเวลานั้น

ทั้งนี้ ขั้วแม่เหล็กโลก กับ ขั้วโลก (Geographic pole) นั้นเป็นคนละขั้ว และ ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกัน จากข้อมูลของ หน่วยงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งแคนาดา (Geological Survey of Canada) ระบุว่า ในช่วง 330 ล้านปี ที่ผ่านมา มีการกลับขั้วของขั้วแม่เหล็กโลก มากกว่า 400 ครั้ง โดยเฉลี่ย 700,000 ปี จะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่ช่วงเวลาระหว่างการกลับขั้ว ก็ไม่คงที่ บางครั้ง เกิดห่างกันน้อยกว่า 100,000 ปี และ การคำนวณพบว่า ช่วงหลังการกลับขั้ว เกิดขึ้นทุกๆ 200,000 ปี แต่การกลับขั้วครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อ 780,000 ปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน นายวรวุฒิ ตันติวนิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ข้อมูลว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็ก เป็นเรื่องปกติ โดยพบมาหลายพันครั้งแล้วในอดีต แต่ขั้วแม่เหล็กโลก ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมานานพอสมควร โดยครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นประมาณ 2 ล้านปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นแล้ว และ การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ แต่อย่างใด 

"นักวิทยาศาสตร์ จึงคาดกันว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กโลก ไม่น่าจะทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรง ถึงมนุษย์ขั้นสูญพันธุ์ แต่ผลกระทบ อาจเกิดแก่เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต้องอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาทิ การสื่อสารวิทยุ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ที่มีมอเตอร์ และ ได้นาโม เป็นต้น รวมทั้ง สุขภาพของคน เนื่องจาก สนามแม่เหล็กโลก จะช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตจากรังสีนอกโลก หากมีการเปลี่ยนแปลง ก็อาจทำให้พลังงานจากนอกโลก เข้ามาทำอันตรายสิ่งมีชีวิตได้" 

นายวรวุฒิ กล่าวพร้อมระบุว่า มีการศึกษาเรื่อง การกลับขั้วแม่เหล็กโลก ไม่มากนัก จึงยังไม่แน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กโลก นั้นเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือ เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็พบว่า ขั้วแม่เหล็กโลก กำลังค่อยๆ เคลื่อนที่ออกจาก แคนาดา เมื่อปี 2374 นักวิทยาศาสตร์ของแคนาดา ได้เดินเรือสำรวจขั้วแม่เหล็กเหนือ (North Magenetic Pole) ของโลก เป็นครั้งแรก และคาดว่า มีตำแหน่งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรบูเธีย (Boothia Peninsula) ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุดของ แคนาดา 

จากนั้นก็มีการสำรวจ ตำแหน่งของขั้วแม่เหล็กเหนือ มาเรื่อยๆ และ พบตำแหน่งที่ต่างกัน โดยระหว่างศตวรรษที่ 20 นี้ ขั้วแม่เหล็กเหนือ ได้เปลี่ยนตำแหน่งไป ราว 1,100 กิโลเมตรแล้ว ปัจจุบันพบว่า ความเป็นไปของ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขั้วแม่เหล็กโลก ได้เพิ่มขึ้นเป็น 41 กิโลเมตรต่อปี หากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เกิดขึ้นด้วยความเร็วเท่าเดิม ในทิศทางเดิม ขั้วแม่เหล็กเหนือ จะไปอยู่บริเวณ ไซบีเรีย ในอีก 50 ปีข้างหน้า 

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงของขั้วแม่เหล็กโลก นั้นจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง มีเพียงจินตนาการจากภาพยนตร์ แสดงให้เห็นความหนาวเย็น ที่ไม่อาจคาดเดาว่า จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขณะที่การสำรวจตำแหน่งของแม่เหล็กโลก ก็ยังคงดำเนินต่อไป 

เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชน เกิดความหวาดหวั่น ด้วยการออกมาเปิดเผยว่า การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก จะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และ ไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากการศึกษาร่วมกัน ของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง กับ กลุ่มนักธรณีฟิสิกส์ และ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์ จะสิ้นสุดระยะเวลา ที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 

โดยครั้งล่าสุด กระบวนการนี้ ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมา จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้ จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012 

คำถาม ? โลกจะเป็นอย่างไร เมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน

การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้ สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่า จะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรือ อาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่า ค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลง จนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยเก๊าซ์ และ โลก ณ ขณะเวลานั้น จะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

คำถาม ? จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก 

โดยปกติ สนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบัง ที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจาก พายุสุริยะ ที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก ในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลก จะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ

พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน บนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศ ด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้น ประกอบด้วย รังสีคอสมิกและรังสีอีกมากมาย รวมถึง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล 

คำถาม ? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับพายุสุริยะ
 
"ฮารัลด์ เลสช์" (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลก ขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่า โลกเราจะเป็นอย่างไร หากไม่มีสนามแม่เหล็ก

แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้ สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้น แสดงให้เห็นว่า เมื่อมวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่ และ ทรงพลังพอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิก ที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ เบนออกสู่อวกาศ 

แต่ทว่า โลกเรานั้น สามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆ มีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และ สนามแม่เหล็กชุดใหม่ ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น ไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม 

ฉะนั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลก ย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะกระทำต่อไปนั้น ก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาล สู่ที่ๆ มีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือ พื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่า นั่นเอง พายุฟ้าผ่า นี้อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่ โดยไม่หยุด จนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีก ถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่า การกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์ จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลก จะทำงานได้อีก

สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมาย จะต้องตาย และ เทคโนโลยีต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น จะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิก สามารถหลุดรอดมาจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจาก โรคมะเร็งและความร้อน 

คำถาม ? เมื่อสนามแม่เหล็กโลก เกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ อาจะเหลือเชื่อ แต่ตามหลักการแล้ว ย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะ แค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลก ที่จะเกิดตามมาอีก

ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์ เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลก นั่นเอง 

คำถาม ? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อโลกหมุนกลับทาง

สิ่งมีชีวิตที่เหลือ อาจจะต้องเจอกับ ภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทาง ย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้ง กระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึง แผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไร เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือ จะทำอย่างไร เมื่อวันนั้นมาถึง

หายนะที่ได้กล่าวมานี้ อาจจะไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่กล่าวมา (หรืออาจร้ายแรงกว่า) ขึ้นอยู่กับว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวนั้น จะใช้เวลานานขนาดไหน น่าแปลกใจว่า เพราะอะไร คำทำนายจากหลายแหล่ง ตรงกันที่ ปีค.ศ.2012 (พ.ศ. 2555) 

ประกาศจาก องค์การ NASA ระบุว่า วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้น แกนโลกของเรา จะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือ จะมาอยู่ที่ ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจาก สนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆ จากอวกาศ แล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน
เพราะดวงอาทิตย์ จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปี ล่าสุดคือ ปีพ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์ จะแผ่สนามแม่เหล็กและรังสีความร้อนสูง มายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ โลกไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน
ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
จะเกิดปรากฏการณ์ แกนโลกพลิก และ การพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์
มันคือ วันหายนะ ภัยพิบัติ ของโลก จริงหรือ ?

1. ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่า สนามแม่เหล็กโลก จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
2. ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่า จะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และ ดวงอาทิตย์ 

3. ทางโบราณคดี ชาวมายา มีปฏิทินถึงเพียงแค่ ปี 2012 และ ระบุวันจุดจบของโลกไว้

4. ทางการทำนาย นอสตราดามุส ได้ทำนายไว้กับราศี ตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์

5. ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ อ้างว่า มนุษย์ต่างดาว ได้บอกเค้า

6. ทางศาสนาพุทธ และ คริสต์ ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้ว ทั้งเป็นปีพุทธศักราช และคริสตศักราช (พ.ศ. 2555 / ค.ศ. 2012)

คำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน ซึ่งทำนายว่า จะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้ว ชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้น เป็นไปได้ว่า อาจจะมีบางสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบัน แม้ไม่ต้องใช้การสังเกตุอะไรนัก คนทั่วโลก ก็ได้เห็นกันอยู่ทุกวันแล้วว่า ตอนนี้ ธรรมชาติเต็มไปด้วยภัยพิบัติ ในรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย

ขอโยงไปเรื่อง โหราศาสตร์ ที่จะมี โลก กาเล็กซี่ และ ดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลก หรือ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้น ยังมีอีกมากมาย ทั้งในอวกาศและจักรวาล

Planet X NIBIRU

ดาวสีแดง ดวงนี้ มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกเรา และ มีการผ่านมาที่วงโคจรของโลกเรา ทุกๆ 3,600 ปี นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดเรื่อง โนอาห์ กับยุคสมัยน้ำท่วมโลก 

โดยดาวดวงนี้ จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อปี 2009 ก็สามารถมองเห็นได้ ทางขั้วโลกใต้ ด้วยกล้องส่องดาว ในปี 2011 ก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งมันมีขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา

ปี 2012 ดาวดวงนี้ อาจจะเริ่มมีปฏิกิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุ จะตกลงมาบนพื้นโลก เป็นฝนดาวตก อันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 อาจจะเกิดหายนะครั้งยิ่งใหญ่ เท่าที่เคยเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างที่ใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน

โดยใน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้น เป็นวันที่ โลก+นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป อาจส่งผลให้ โลก หยุดหมุนรอบตัวเอง เป็นเวลา 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเล จะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะทะลักขึ้นมา เกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย
  
 2 1 D e c e m b e r 2 0 1 2

นับ ถอย หลัง สู่ วัน สิ้น โลก ?

น่า แปลก ใจ ทำ ไม การ ทำ นาย หลาย ๆ อย่าง ใน โลก

มัน ถึง มา ตรง กัน ที่ ปี ค. ศ. 2 0 1 2 ( พ. ศ. 2 5 5 5 )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น