วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้เห็น วันโลกาวินาศ / พระอาจารย์จี้กง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้เห็น วันโลกาวินาศ

ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะได้นำมาให้อ่านต่อไปนี้ ได้มาจากหนังสือเรื่อง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ ซึ่งท่านผู้ใช้นามปากกาว่าศุภนิมิตได้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาจีนอีกทีหนึ่ง

สาระของเรื่อง ได้ถ่ายทอดจากการรับรู้ของเด็กหญิงผู้วิเศษ ชื่อ เทียนไฉ ที่ ประเทศมาเลเซีย โดยการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ จากการถอดจิตขึ้นไปสู่โลกเบื้องบน ไปรู้ไปเห็นมาหลายครั้งหลายหนของเธอ ดังนี้

เจ็ด-เจ็ด-สี่สิบเก้า : วันที่-ฟ้าดิน-มืดมิด

1. ก่อนหน้า เจ็ด-เจ็ด-สี่สิบเก้าวันฟ้าดินมืดมิด สองสามวัน บรรยากาศของโลก ดูสงบเงียบไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ความเงียบสงัด ก่อนพายุฝนจะกระหน่ำ มักเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ แล้วทันใดนั้น ท้องฟ้า ก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉาน และ กลายเป็นสีเทาขาว จนกระทั่ง มืดมิดลง ลมมหาประลัย ทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และ สัตว์ทั้งหมด ให้กลายเป็นจุณมหาจุณ ในพริบตา

2. โลกทั้งโลก ตกอยู่ในความมืดมิด จนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใด ๆ ทั้งสิ้น พลังงานไฟฟ้า จากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่าง ใช้การไม่ได้ผล ต่อจากนั้นก็เกิด พายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดไม่ขาดสาย ห่าฝน เมฆสีแดง จะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตกอยู่ใน ความมืดมิดของรัตติกาล นานถึง สี่สิบเก้าวัน

3. มีเพียงโคมไฟสามดวง ในพุทธสถานเท่านั้น ที่ให้แสงสว่างได้ รอบนอกสถานธรรม ได้ถูกห่อหุ้มปกป้อง ด้วยรัศมีสีม่วงโดยทั่ว เมื่อนั้น คนที่บำเพ็ญโดยแท้จริง และ คนดีที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจ ชักนำให้เข้ามาหลบภัยในพุทธ สถานในที่นั้น หากมีธรรมอธิการผู้อาวุโส (เฉียนเหยิน) หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรม อยู่ด้วยก็อาจจะช่วยชี้ธรรมให้คนเหล่านั้น คนที่มีกุศลบารมีสูง ก็จะรู้แจ้งในทันที และนั่นอาจจะเป็น แสงอาทิตย์ลำสุดท้าย ที่จะโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคขาว ก็ว่าได้ คนที่ไม่เคยร่วมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใด มาก่อนเลย เกรงว่าจะต้องตายด้วยภัยพิบัติ ทันทีเลยทีเดียวถึงแม้จะรอดพ้นไปได้ แต่วิถีอนุตตรธรรม ก็สิ้นสุดวาระการถ่ายทอดเสียแล้ว

4. ส่งเสริมให้ญาติธรรมทั้งหลาย สร้างพุทธสถานกันให้มาก ๆ แม้จะมีไว้เพียงเพื่อตนเอง จะได้กราบไหว้เช้าเย็นก็ยังดี เพื่อให้ ทุกบ้านเป็นสถานแห่งพุทธสมดังพุทธปณิธานโดยเร็ว เมื่อถึงวันสุดท้ายฯพุทธสถาน จะได้เป็นที่หลบภัยของสาธารณชนให้มาก ๆ เพราะพุทธสถาน จะเป็นเสมือนเมืองในม่านเมฆสำหรับผู้ใฝ่ธรรม

5. สภาพโลกภายนอกของพุทธสถาน คือ ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยก เจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งหลาย ที่เป็นหนี้ติดค้างกันมาถึงหกหมื่นปีมาแล้ว จะลุกฮือกันออกมาเอาชีวิต วิญญาณทวงหนี้กัน แม้ผู้คนจะพ้นจากมหันตภัย แต่ก็อาจต้องตายด้วยเจ้ากรรมนายเวร สภาพนั้นจึงเป็น มหาโหด มหาวิปโยค เสียงร่ำไห้ กู่ร้องครวญคราง เสียงผีสาง เทพพรหม ระงมก้องไปทั่ว เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

6. เหล่าภูตสางนางไม้ ในป่าเขา ในบาดาล เหล่าพญามารอสูรทั้งหลาย ก็จะแปลงกาย เป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง หรือ พระอริยเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายสำแดงอิทธิปาฎิหาริย์ เรียกลมเรียกฝน เสกหว่านเมล็ดถั่ว ให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ จะอวดอ้างศักดานุภาพ ว่าจะสามารถพาผู้คนให้พ้นจาก ลมมหาประลัย มุ่งคืนไปยังสุทธาวาสเบื้องบนได้ สิ่งเหล่านี้ มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ปฎิบัติธรรม โดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลาย จงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตอย่างเช่นเดิม อย่าได้โลภหลง ตามไปเป็นอันขาด พอขยับใจไขว้เขว แม้เพียงขณะจิตหลงติดตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป ดังคำที่ว่าใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ำเสียก่อนเมื่อตอนสาย” จะขึ้นหรือลง จึงอยู่ที่หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ ที่แอบอ้างว่าเป็น พระบรรพธรรมาจารย์ มาเก็บงานธรรม อยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงมารเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าแปลก ต่อเมื่อ วันที่มหันตภัยเกิดขึ้น แล้วนั่นแหละ จะน่ากลัว เพราะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง พระองค์ต่างมุ่งอยู่แต่งานช่วยคนให้พ้นจากภัยพิบัติ ไม่มีเวลา ะมาแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ล่อใจใครให้กราบไหว้ได้เช่นนั้น พระพุทธะ ตรัสไว้ว่าแรงแห่งมารหาญกล้ากว่าพุทธะ

พระอาจารย์จี้กง ก็กล่าวว่าพระอาจารย์ปลอม มีอิทธิปาฎิหาริย์แกร่งกล้ากว่า พระอาจารย์จริง เสียอีก หวังว่า หญิงชายทั้งหลาย จะได้ร่วมกันบำเพ็ญธรรม อย่าลืม อย่าลืม คนที่บำเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้น หากจะสงบใจพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จริงหรือปลอม” จะเห็น ใบหน้าสีเขียวเขี้ยวโง้งของปีศาจ ในร่างของพุทธะ ได้โดยไม่ต้องเทียบเคียง

7. วันที่ทรมานที่สุด จะมีสองช่วง คือ ช่วงที่หนึ่ง วันที่ 24, 25, 26, ของช่วงเจ็ด-เจ็ด-สี่สิบเก้าวัน” เพราะช่วงนั้น อาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจ จะยังอดทนต่อความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์ จะทรมานมาก ช่วงที่สอง ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 50 ถึง 70 เพราะสรรพสิ่งทั้งหลาย จะถูกเคลือบด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี ซากศพเกลื่อนกลาด คนเคราะห์ดีที่ยังมีชีวิตอยู่ จะยังต้องทำหน้าที่ฝังศพ คนที่กินเจ จะมีกำลังอยู่ได้ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ดังนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคำเตือน ไว้นานมาแล้วว่า “หลังจาก มหันตภัยกวาดล้างโลกนี้ กลายสภาพเป็นตมไปแล้ว จะเหลือแต่ พระอรหันต์เดินดิน ไม่กินเนื้อสัตว์” เป็นคำเตือน ที่ชัดเจนแน่นอนที่สุดทีเดียว

8. หลังการกวาดล้างแล้ว ก็จะเป็นการสร้างบ้านเมืองใหม่ มนุษย์ จะเริ่มเบิกดิถี ด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือ มีคุณธรรม และ มีคุณสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อจดจำบทเรียนที่ได้รับจากภัยพิบัติ ปรัชญาความคิดของท่านบรมครู ขงจื้อและเมิ่งจื้อ จะเป็นที่เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลื่อ ซึ่งกันและกัน จะเป็นปฎิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน

9. พระศรีอาริยเมตไตรย จะเสด็จสู่โลกมนุษย์ อีกครั้งหนึ่ง ในศุภวาระนี้ จะทรงเปิดเผยให้เห็น ฉากสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์ ของ พระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทาน อริยฐานะ ตามลำดับมรรคผลบุญกุศล จากนี้ โลกแห่งสันติสุข เยี่ยงสมัยพระเจ้า เหย่าซุ่นหรือ โลกพระศรีอาริย์ ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนี้

ภาพเมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย

ในหนังสือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาสศุภนิมิต ถอดความไว้ว่า:-

เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.. 2531 เวลา 17.10 .

เด็กหญิงเทียนไฉถอดจิตออกจากร่าง ติดตาม พระอรหันต์จี้กง ขึ้นไปเหนือเมฆ มองดู ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า สภาพอันน่าเวทนา เมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น มีดังนี้

ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง หัวระเบิด ได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศ เกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้น มันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมด ชั่วพริบตา พร้อมกับ เสียงดังกัมปนาท และ แรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากระเบิด ความกดอากาศ เปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลาย บาดเจ็บและล้มตายลง นับจำนวนไม่ถ้วน ทุกหนทุกแห่ง เห็นแต่ภาพน่าอนาถ กลุ่มควันที่เหมือน เมฆสีดำรูปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด และ มีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้น ให้ความรู้สึกอึดอัด เหมือนกำลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับความเสียหาย กว้างไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร ส่วนกัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสง หรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่านกระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อเรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้า เป็นที่น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย ทันใดนั้น เมฆบนท้องฟ้า ก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้า เปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นสีแดงคล้ำ แล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันใด ก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และ ดำมืด ถึงตอนนั้น แม้จะชูมือขึ้นตรงหน้า ก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ก็มองไม่เห็นกัน
พระอาจารย์จี้กง ตรัสไว้ว่านั่นคือเจ็ด-เจ็ด-สี่สิบเก้าวันอันยาวนาน ที่รัตติกาลมาสู่โลกเวลาอันน่าสะพรึงกลัว กำลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้

วันที่ 30 มกราคม เวลาเช้า 9.00 . อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ

ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ (เทียนไฉ) ก็ได้ถอดจิตติดตาม พระอาจารย์จี้กง ไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไป ดังนี้:

ขณะนั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศ พร้อมกัน ตึกใหญ่ ๆ ที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิดและแสงไฟโชติช่วง ได้พังคลืนลงมาทั้งหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ ต้นไม้ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคน ล้มระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตา ล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แล้วเธอก็ได้เห็น หมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่ง ตรงกลาง เป็นพุทธสถาน บ้านเรือนที่อยู่ในรัศมีโดยรอบ หลายร้อยเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถาน และ ภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีม่วง พ้นภัยโดยทั่วกัน ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไป แต่เป็นคนที่มีจิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัย ในพุทธสถานด้วย โลกภายนอก มืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้า หรือ ดวงไฟจากสิ่งใดเลย สายฟ้าแลบ พร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้า แต่ละหยด มีน้ำหนักเหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด เหมือนยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่าน อิฐ หิน ปูน เหล็กกล้า และ ทุกอย่าง แต่ที่น่าอัศจรรย์ คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มันจะสลายตัวหายไปจนหมดสิ้น ในตำหนักพระ มีพระพุทธประทีป 3 ดวง บนแท่นบูชา สาดส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว
ไม่นานต่อมา เธอก็ได้เห็น พื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไปผีนรกทั้งหลาย กรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคน ดูกระเหี้ยนกระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขา ก็ฉุดกระชากตัวลงไป ในร่องลึกใต้ดินโดยทันที โดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ เป็นภาวะที่ผีคร่ำครวญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้อง โดยแท้ สยองขวัญยิ่งนัก
พระอาจารย์จี้กง บอก หนูเอี้ยนอี่ ว่านั่นคือ การหักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปี ที่ผ่านมา ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเหมือนกัน แผ่รัศมีรอบวง ค่อนข้างมัวหมอง เหมือนถ้ำ และ เหมือนบ้านเก่า ภายในบริเวณ ไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้น มีไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบ มีฟองเหมือนน้ำ และเหมือนน้ำมัน ผุดขึ้นจนล้นออกมา ฟองเหล่านั้น มีสีแดงเรื่อ ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเลย บนผนังบ้าน ติดยันต์เต็มไปหมด ดูอึมครึมน่ากลัว
พระอาจารย์จี้กง บอกว่า ที่นั่น เป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม เป็นถ้ำมาร ที่ปีศาจมารร้าย จำแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ ไม่นานนัก เธอก็เห็น พระศรีอาริย์ปลอม ลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวเราะร่า ร้องเรียก ผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรม และคนทั้งหลาย ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัย ในพุทธสถานที่แท้จริง ว่าให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ อีกทั้ง แสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคน ให้พ้นจากการทำลายของฝนพิษได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียก ผู้บำเพ็ญธรรม ที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระ ภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ยกระดับ และ มอบหมายตำแหน่งงานธรรมชั้นสูงให้ ใครก็ตามที่หลงเชื่อตามไป ในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป โดยแท้จริง แล้วคนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย เมื่อถึงเวลานั้น คนที่บำเพ็ญธรรม จงพึงระวังตัวให้รอบคอบทีเดียว

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมง โดยประมาณ

พระอาจารย์จี้กง พา หนูน้อยเอี้ยนอี๋ ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:-

แม้จะผ่าน ช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนาน และ น่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด ต่อมา จึงค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน มีแต่หัวขาด แขนขาด ขาขาด หรือ ตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลย โลหิตสีดำคล้ำ นองไหลมารวมกัน จนเหมือนแม่น้ำเลือด กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่ว จนอยากอาเจียน พูดได้ว่า มันคือนรกในเมืองมนุษย์จริง ๆ ไม่นานต่อมา แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถาน ก็ค่อย ๆ จางไป ญาติธรรมทั้งหลาย พากันออกมาภายนอกได้แล้ว โลกทั้งโลก เงียบสงัด สัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้มีเพียงประเภทเดียว คือ สัตว์ที่กินหญ้าหรือกินพืชผักเป็นอาหาร คือ กระต่าย แกะ วัว ควาย และ ม้า เท่านั้น

จากนี้คือ ความทุกข์ยากหลังจากวันเกิดมหันตภัย วันที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ

คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพราะทุกหนแห่งในโลก ล้วนอาบไปด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสีพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ทนต่อความอดอยากไม่ได้ ผู้ที่กินเจเฉพาะวัน หรือ ไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้น สี่สิบเก้าคืน มาได้ภายในร่างกายของเขา ยังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านั้น จะฉีกเนื้อ กระต่าย แกะ วัว ควาย หรือ ม้า กินดิบ ๆ ได้ แต่ไม่นานต่อมา เขาก็จะต้องตาย เพราะสารพิษ
พระอาจารย์จี้กง ได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่คนที่กินเจเท่านั้น ที่จะอยู่รอดจากความอดอยาก หลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง ๆ

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง

พระอาจารย์จี้กง ได้โปรดนำ หนูเอี้ยนอี๋ ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:-

ขณะนั้น ท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลก มีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง แผ่นดินที่แยกออก ปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยกเป็นทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนอง ก็แห้งลง และ ซึมลงไปในดิน ทุกอย่างที่เห็น มีแต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา และน่าอนาถใจ คนถือศีลกินเจทั้งหลาย เริ่มจะลงมือ เก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ เมื่อหิวกระหาย ก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่ม น้ำทิพย์ที่บูชา แตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้น ก็ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้ อย่างไม่เดือดร้อน คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา จะไม่กล้าเดินออกไปนอกตำหนักพระ เลยแม้สักก้าวเดียว

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง

หนูน้อยเอี้ยนอี๋ ก็ติดตาม พระอาจารย์จี้กง ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ฉากสุดท้ายต่อไป:-

ขณะนั้น ทั้งการเก็บฝัง และ เก็บเผาซากศพ จะแล้วเสร็จไปเสียส่วนใหญ่ แสงสีม่วง นอกจากจะปกป้องรอบ ๆ อาณาบริเวณพุทธสถานแล้ว ยังรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้า และ สิ่งปลูกสร้าง ในวงรอบรัศมีอีกด้วย ส่วนรอบนอกนั้น ราพณาสูร ไม่เหลืออะไรเลย ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ถูกทำลายหมดสิ้น และ ใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย จากนั้น ฟ้าดิน ก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตามปรกติ ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลม มีฝน แม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไหลล่อง ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัยหลบฝน และ เริ่มงานทำไร่ไถนากันอย่างขะมักเขม้น เช้า ก็ออกไปทำนา เย็น ก็กลับมาบ้าน ชีวิต แม้จะไม่ว่างทางแรงกาย แต่ก็มั่นคงเป็นสุขใจ ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีการวิวาท บาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลก เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของชีวิต และ เป็นระเบียบแบบแผนอันดีงาม เหมือนโลกใหม่โดยแท้

(แหล่งที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดย รหัสยญาณ สำนักพิมพ์ ลานอโศก เพรส กรุ๊ป)

คำพยากรณ์โลก โดย อ.ปริญญา ตันสกุล
การชำระล้างโลกของพระบิดา

กระบวนการทางเทคนิคของพระบิดา

ต่อไปนี้ จะเปิดเผยเฉพาะบางส่วน ที่มนุษย์ควรรู้เท่านั้น เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า ความรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเป็นพระเมตตาที่พระบิดาประทานมาให้เผยแพร่ มิใช่เป็นการกระทำขึ้นมาเอง ของมนุษย์ที่อวดอุตริ จริงแท้หรือไม่

หากทุกอย่าง เป็นความจริงตามที่เผยให้รู้ไว้ล่วงหน้านี้ ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า องค์จิตจักรวาล ผู้เป็นพระบิดา หรือพระผู้สร้าง หรือว่าพระเจ้า ล้วนมีจริงเป็นแน่แท้ แต่จะมีใครสักกี่คนกันเล่า ที่จะมีโอกาสข้ามผ่านกลียุคครั้งที่ 4 นี้ไปได้เพื่อถึงวันเวลาแห่งการพิสูจน์นั้น?

ขั้นตอนโดยสังเขปทางเทคนิคของพระบิดา

1. ก่อนวันชำระครั้งใหญ่ จะเริ่มต้นขึ้น 15 วัน แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก ที่ทำมุมกันแนวดิ่งอยู่ 23.5 องศานั้น จะถูกกำหนดให้มันค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อเบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมเรื่อย ๆ จะทำให้ขั้วโลกเหนือ ก้มหัวลงหันเข้าหาดวงอาทิตย์มากขึ้น

2. น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น จากกรณีที่เกิดขึ้นในข้อแรก ทำให้น้ำแข็งละลาย กลืนกับน้ำในมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว

3. เมื่อโลกเอียง ในลักษณะก้มหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำจากขั้วโลก ก็จะพากันไหลหลั่งลงสู่เบื้องล่าง เป็นคลื่นน้ำระลอกใหญ่ ในอันที่จะนำไปสู่ คลื่นยักษ์ถาโถมแผ่นดิน และ ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่จะกลืนแผ่นดินต่อไป

4. ขณะเดียวกัน ก็จะกำหนดให้เกิดการสั่นสะเทือนใต้มหาสมุทรบริเวณขั้วโลกใต้ เพื่อกระเทาะเอาก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ให้หลุดออก เพื่อใช้เป็นมวลในการถ่วงดุลด้านน้ำหนักมวลระหว่าง ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ในกระบวนการทางเทคนิค ที่จะกล่าวถึงในข้อ 5 และ 6 เป็นลำดับต่อไป นั่นเอง

5. เมื่อครบ 15 วัน ตามกำหนดที่จะชำระความครั้งใหญ่แล้ว แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก จะเบี่ยงเบนไปจากเดิม 8.5 องศา หรืออยู่ที่ 32 องศากับแนวดิ่งแล้ว ตรงพิกัดตำแหน่งนี้ จะเป็นกำหนดเวลาที่ส่วนโค้งของโลก จะเริ่มบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ได้อย่างเหมาะเจาะพอดีอีกต่างหากด้วย ดังนั้น วันแรกแห่งการชำระความ ในกรณีชำระโลกครั้งใหญ่ ที่มนุษย์จะสังเกตมายาได้ ก็คือ ฟ้าจะเริ่มมืดสลัวลงผิดปรกติ

6. ดาวเคราะห์โลก จะค่อย ๆ ม้วนตัวก้มหัวเอา ขั้วโลกเหนือคว่ำลงแทนที่ตำแหน่งขั้วโลกใต้ อย่างช้า ๆ โดยมีน้ำหนักจากขั้วโลกเหนือที่ไหลลงสู่ด้านล่าง และ ก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ทางด้านขั้วโลกใต้ ช่วยส่งเสริมกระบวนการทางเทคนิคนี้ให้แนบเนียนกลมกลืนยิ่งขึ้น เมื่อขั้วโลกเหนือ ย้ายตนเองไปสู่ ขั้วโลกใต้ แล้วก็จะค่อย ๆ พลิกม้วนตัวขึ้น เพื่อย้อนคืนสู่ตำแหน่งเดิมของตนต่อไป โดยไม่ย้อนรอยเดิม แนวแกนหมุนรอบตัวเองตำแหน่งใหม่ในยุคพลังงานใหม่ ก็คือ 22 องศากับแนวดิ่ง เพื่อสร้างฤดูกาลใหม่ที่สมดุล ให้กับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่แห่งโลกเสรี

ระยะเวลาที่โลกม้วนตัวตีลังกาครบ 1 รอบ จะใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 30 วัน!

7. คำกล่าวที่ว่าน้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาวจะเกิดขึ้นภายใน 7 ราตรี คือ 49 วัน อันมีแต่กลางคืน นั่นเอง หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง จะจมอยู่ใต้บาดาล ผู้ที่อยู่ใต้น้ำย่อมมองเห็นเหมือน น้ำท่วมท้องฟ้า และ ปลาจะแหวกว่ายอยู่ไปมา ทำให้คนที่จมอยู่ใต้น้ำ แลประหนึ่งว่า ปลาจะกินดาว นั่นเอง

8. ตึกสูงใหญ่ วัตถุเทคโนโลยีขยะ มนุษย์ขยะ สัตว์ประจำโลก ต้นไม้ใหญ่น้อย ภูเขาสูงชัน และอื่น ๆ จะถูกชำระออกไปจาก
ระบบ เพื่อลดจำนวนและน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลกให้น้อยลง เพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้

9. สัตว์ประจำโลกบางชนิดจะสูญพันธุ์ เพราะพวกเขาหมดหน้าที่แล้ว โดยพระบิดา จะเรียกนำจิตวิญญาณพวกเขาทั้งหมดกลับคืน คือ กระต่าย และ หนู

10. เมื่อครบ 49 วัน หรือ 7 ราตรีแล้ว พระบิดา จะใช้น้ำฝนดั่งน้ำทิพย์ที่บริสุทธิ์ของพระองค์หลั่งลงมา เพื่อเก็บกวาดชำระล้างเศษซากทุกสิ่ง และ ชุบชีวิตให้กับจิตวิญญาณบุตรที่รักดีที่เหลือรอด

ขั้นตอนการชำระความโดยสังเขป:

1. ให้มีการชำระความ ก่อนวันชำระใหญ่ ได้เรื่อย ๆ นับแต่ปี พ.. 2535 เป็นต้นมา

2. การชำระความ กระทำโดยกลุ่มของช่างเทคนิค ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นในสนามพลังงานดาวเคราะห์โลก จำนวน 20 เท่า ของประชากรโลกที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ ในประเทศใด ก็จะทำหน้าที่เป็นช่างเทคนิค เพื่อชำระความกับมนุษย์ ในประเทศนั้น

3. การชำระความของเจ้ากรรมนายเวรผู้เป็นช่างเทคนิค หมายถึง การแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสม กับมนุษย์ที่เคยก่อกรรมด้านลบต่อพวกเขามาก่อน

4. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง พี่ ๆ น้อง ๆ ของมนุษย์ในภพชาติปัจจุบันนี้เอง ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการจองจำ ด้วยความอาฆาตโกรธแค้นต่อมนุษย์ปัจจุบัน ที่เคยกระทำผิดคิดร้ายต่อพวกเขา โดยพวกเขาไม่ยอมไปผุดเกิดยังภพภูมิใด ๆ ได้ แต่รอคอยโอกาส เพื่อติดตามแก้แค้นทวงคืนอยู่อย่างเดียว บางรูปธรรมได้จองจำมนุษย์ไว้ นานร่วมสองหมื่นปีมาแล้วก็มี

5. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง รูปธรรมทางพลังงานจิตวิญญาณของผู้ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ หรือ สัตว์ประจำโลก ที่เคยถูกมนุษย์ทำร้ายให้ทุกข์ทรมานอย่างทารุณ ด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิต และกินเลือดกินเนื้อพวกเขาอย่างเมามัน เช่น หมู เป็ด ไก่ ห่าน วัว ควาย และอื่น ๆ เป็นต้น

6. วิธีการชำระความ ก็คือ การอยู่เบื้องหลังภัยธรรมชาติที่รุนแรง เพื่อจัดการกับมนุษย์ผู้เป็นบุคคลเป้าหมาย ที่จะเอาความของพวกตน เช่น การโอบอุ้มน้ำฝนไปถล่ม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อก่อให้เกิดอุทกภัยที่รุนแรง ต่อมนุษย์ในเป้าหมายชำระของพวกตน การร่วมกันทำให้เกิดฟ้าฝ่าบุคคลเป้าหมาย การทำให้เกิดลมพายุพัดถล่มซ้ำ การทำให้เกิดคลื่นยักษ์ การทำให้เกิดแผ่นดินไหว ด้วยการใช้เสียงดังของฟ้าฝ่าในระดับ 30 เดซิเบลขึ้นไป เพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการสั่นสะเทือนนั้น การผลักเคลื่อนตัวของรอยแยกของเปลือกโลก อันเกิดจากการระเบิดในใจกลางโลก การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่รุนแรง และ การระเบิดของภูเขาไฟ ในสถานที่ ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

7. ชำระความด้วยเสียงอันดัง เพื่อทำลายประสาทหู และ ใช้พลังงานด้านลบที่เข้มข้น เพื่อทำลายสติ และ เอาชีวิตมนุษย์เป้าหมายนั้น ในฉับพลัน

8. ชำระความมนุษย์ ด้วยโรคระบาดร้าย ๆ ที่มากับน้ำเน่าเสีย เช่น อหิวาตกโรคชนิดใหม่ ที่มนุษย์ต้องตายภายใน 6 วัน หลังการได้รับเชื้อนั้น หรือ ภัยร้ายจากเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ ชื่อ Virusteria ที่มนุษย์โลกไม่เคยรู้จัก ซึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วกว่าเชื้อโรคชนิดใด ๆ บนโลกใบนี้

9. ชำระความด้วยความอดอยากหิวโหย ไม่มีที่อยู่ ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีอาหารบริโภค เพราะน้ำท่วมเสียหายหมด และ ไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ เพราะต่างต้องประสบเคราะห์กรรม โดยทั่วหน้ากัน

10. ช่วงเวลาแห่งการชำระความครั้งใหญ่ จะใช้เวลานานถึง 7 ราตรี โดยที่ 1 ราตรี หมายถึง การที่โลกจะปกคลุมไปด้วยความมืดมิด คือ มีแต่กลางคืนติดต่อกัน 7 วันเต็ม ๆ ขณะที่ภัยธรรมชาติที่วิปริตแปรปรวน อันเกิดจากน้ำมือของช่างเทคนิค เป็นผู้กระทำอยู่เบื้องหลัง จะรุกกระหน่ำเอาความกับมนุษย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะปิดตาก็แลเห็น จะปิดหูก็ได้ยิน ทั่วทั้งแผ่นดินจะเจิ่งนองไปด้วยน้ำ บอบช้ำไปด้วยพายุถล่ม แผ่นดินถล่ม และ ตึกสูงใหญ่ที่ถล่มทลายลงมากองเป็นภูเขาเลากา ท่ามกลางเสียงหวีดกรีดร้องของมนุษย์กับเจ้ากรรมนายเวร ประสานเสียงกันอย่างบาดหัวใจ

11. แผ่นดินบางแห่ง จะลุกเป็นไฟ เพราะแสงเพลิงและสายธารของลาวาจากใต้โลก บางแห่งจะยุบตัวลงกลืนเมืองลงไปทั้งเมือง แล้วราดทับด้วยเปลวถ่านร้อน ๆ ของลาวา อย่างน่าพรั่นพรึง

12. แผ่นดินจำนวนมาก จะถูกกลืนหายไปใต้แผ่นน้ำและมหาสมุทรอย่างถาวร เพราะ คลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว และ แรงดูดดึงจากใต้สมุทร จนทำให้เกาะน้อยใหญ่ไม่แตกกระจาย ก็จะจมหายลงไปใต้ผืนทะเลตลอดกาล

( แหล่งที่มา หนังสือ 56 วัน 7 ราตรี ปฎิบัติการชำระโลก สู่ยุคพลังงานใหม่ ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล โดย อาจารย์ปริญญา ตันสกุล )

ที่วัดพระนอน เมืองแพร่ มีการค้นพบคัมภีร์ภาษาโบราณชุดหนึ่ง

ซึ่งเชื่อว่าได้ เขียนไว้ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 (.. 2310) เมื่อนำมาแปลโดย พระครูนิภัทร กิจอาทร ปรากฏว่า เป็นเรื่องของคำทำนายชะตาของโลก ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ ตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส มีใจความบางตอนดังนี้:

น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว

มนุษย์จะรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ จะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น มนุษย์จะสามารถขี่ลมไปได้ในพื้นที่ และ อากาศมีรอยเหมือนงู ในที่ต่ำจะถูกถมให้สูง ในที่สูงจะถูกขุดแผ่นดินให้ราบเรียบ

ชนชาติผิวขาว จะย่นย่อระยะทางให้สั้นเข้า โลกจะเล็กลง คนพูดทางไกลแสนไกล จะได้เห็นหน้ากันและกัน โลกจะมี ตาทิพย์ หูทิพย์ เสียงทิพย์ บนท้องฟ้า จะมีลูกไฟพุ่งเข้าหากันผู้คน จะพกพาอสรพิษติดกายไว้ต่อสู้เพราะอวิชชา
โจรผู้ร้ายตา 2 ชั้น จะนำพิษมาทำลายโลกมนุษย์ ผู้หญิงจะกลายเป็นผู้ชาย ผู้ชายจะกลายเป็นผู้หญิง

(แหล่งที่มา หนังสือมังกรจักรวาล 2 ตอนเทพอวตาร โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น